รถยนต์เป็นยานพาหนะที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่เราทุกคนในการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วทันใจเพิ่มมากขึ้น ช่วยประหยัดระยะเวลาในการเดินทางได้มากในระดับหนึ่ง ยิ่งในยุคที่การติดต่อสื่อสารของคนทั้งโลกง่ายแค่เพียงสัมผัสหน้าจอ รถยนต์คือผลพวงของการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของโลก เราทุกคนต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์ไม่มากก็น้อย บ้างก็เป็นผู้ใช้บริการรถยนต์โดยสาร บ้างก็เป็นเจ้าของรถยนต์ด้วยตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าหากมีรถเป็นของตนเองก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับวิธีการบำรุงดูแลรักษารถเบื้องต้น หรือถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความรู้ในเรื่องของเครื่องยนต์กลไกจนถึงขนาดซ่อมรถได้เอง แต่อย่างน้อยก็สามารถเริ่มต้นเรียนรู้วิธีการง่าย ๆ ได้ไม่ยาก โดยเริ่มจากการรู้จักการดูแลล้อและยางรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งวิธีการตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์เบื้องต้นก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเอง ดังนี้
1.ตรวจเช็คความดันลมยางสม่ำเสมอ โดยตรวจสอบให้แรงดันของลมยางเป็นไปตามค่ามาตรฐานที่กำหนดมาในยางแต่ละรุ่น แต่ละประเภท อย่างน้อย 1 ครั้งในทุก ๆ 2 สัปดาห์ หรือหมั่นสังเกตด้วยตาเปล่าบ่อย ๆ ก่อนขึ้นรถยนต์
2.ไม่เติมลมยางมากหรือน้อยจนเกินไป ควรเติมให้พอดีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากเติมลมยางมากเกินไป ขณะที่ขับขี่อุณหภูมิที่ร้อนของสภาพอากาศและการเสียดสีของยางกับพื้นถนน จะทำให้อากาศที่เป็นลมยางขยายตัว และอาจเป็นสาเหตุให้ยางเกิดการะเบิดขณะขับขี่อยู่บนท้องถนนได้ หรือถ้าหาเติมลมยางน้อยเกินไปจะทำให้รถยนต์เกิดการเสียสมดุล ส่งผลให้เปลืองน้ำมันมากกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งเป็นการเร่งให้ยางรถเสื่อมอายุการใช้งานลงไปได้ง่าย ๆ อีกด้วย
3.หมั่นตรวจเช็คความเสื่อมของยางอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากยางรถยนต์ทุกยี่ห้อต่างก็มีระยะเวลาในการใช้งานมากน้อยแตกต่างกันไป ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วอายุการใช้งานของยางเฉลี่ยต่อเส้นจะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี หรือหากเปรียบเทียบจากระยะทางที่วิ่งได้ของรถก็จะอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 50,000 กิโลเมตร ซึ่งหากสงสัยว่ายางของรถยนต์ที่ใช้งานอยู่ถูกผลิตขึ้นเมื่อใด ก็สามารถเช็คได้จากเลขที่ปรากฏอยู่บริเวณขอบยางซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 4 ตัว อันประกอบไปด้วย เลข 2 ตัวหน้าที่หมายถึงสัปดาห์ในการผลิต และเลข 2 ตัวหลังที่แสดงถึงปีคริสต์ศักราชที่ยางเส้นนั้น ๆ ถูกผลิตขึ้นมา
4.นำรถยนต์เข้าไปตั้งศูนย์ล้อ ที่ศูนย์บริการ ทุกครั้งที่มีการนำรถเข้าไปรับบริการ ณ ศูนย์บริการ ควรให้พนักงานช่วยตั้งศูนย์ยางให้ด้วย เนื่องจากการใช้งานแต่ละวันยางจะเกิดอาการที่เรียกว่าเสื่อมได้ง่ายมากขึ้น หากไม่รับการตั้งศูนย์ที่เหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อการใช้งานรถยนต์บนท้องถนนได้
5.ควรมีการถ่วงล้อตามระยะทางที่เหมาะสม ทุก ๆ ระยะทางที่รถยนต์วิ่งไปได้ประมาณ 5,000 หรือ 10,000 เมตร ควรนำรถยนต์เข้าศูนย์เพื่อรับบริการถ่วงล้ออย่างเหมาะสม เป็นการลดโอกาสของดอกยางที่อาจจะเสื่อมได้ง่าย ยังเป็นวิธีการยืดระยะเวลาการใช้งานให้เพิ่มมากขึ้นอีกทางหนึ่ง วิธีนี้นอกจากจะเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นแล้ว ยังเป็นการประหยัดค่าซื้อยางใหม่ได้อีกด้วย
6.หมั่นสังเกตลักษณะทางกายภาพของยางรถยนต์ เพื่อหาว่ายางมีอาการเสื่อมหรือไม่ เช่น เนื้อยางเริ่มแข็งหรือไม่ เพราะถ้าหากว่าเนื้อยางเริ่มแข็งไม่สามารถใช้เล็บจิกลงได้แล้ว ก็แสดงว่ายางเส้นนั้นเริ่มหมดสภาพลงแล้ว คงต้องถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยางเส้นนั้น ๆ ได้สักที หรือหากสังเกตเห็นว่าดอกยางเริ่มจาง หรือยางมีรอยแผล หรือผ่านการปะซ่อมมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง นั่นก็เป็นสัญญาณเตือนอย่างดีว่ายางรถยนต์ที่กำลังใช้งานอยู่เริ่มเสื่อมสภาพลงไปทุกที
อย่างไรก็ดีนอกจากการตรวจสอบสภาพยางรถยนต์เบื้องต้นตามที่ได้แนะนำไปแล้ว การหมั่นคอยตรวจสอบระยะเวลาในการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ที่เป็นหัวใจหลักของระบบไฟฟ้า หรือหมั่นเติมน้ำกลั่นสำหรับแบตเตอรี่ที่จำเป็นต้องมีการเติม และอย่าไม่ลืมเปิดไฟรถทิ้งไว้ เท่านี้ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อให้การใช้งานรถยนต์เป็นไปอย่างราบรื่นปลอดภัยได้ในระดับหนึ่งแล้ว
พบกับแคมเปญ Summer sale วันที่ 5-31 พ.ค 2562 รับเงินคืนสูงสุด 200% ลุ้น coins cashback voucher จากเกมส์ Shopee quiz และเกมส์น้องใหม่อย่าง 1 บาทเกมส์ พร้อมบริการจัดส่งฟรี เมื่อช้อปครบ 99 บาท